สธ.ร่วมกับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด พัฒนานวัตกรรมยาชีวเภสัชภัณฑ์ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub



สธ.ร่วมกับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด พัฒนานวัตกรรมยาชีวเภสัชภัณฑ์ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub

11  ก.ย. 2560

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ในการนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไปขยายผล รวมถึงการต่อยอดผลการวิจัยพัฒนาต้นน้ำเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือวิธีทดสอบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง และประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพได้มากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub ภายในปี 2568

ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องนำเข้ายาชีววัตถุปีละมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท แต่คนไทยสามารถเข้าถึงยาดังกล่าวได้เพียง 5,338 ราย ยังมีคนไทยที่ป่วยอีกกว่า 2 ล้านรายที่ต้องได้รับยาดังกล่าว  ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0 โดยการส่งเสริมให้ภาครัฐร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา ในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ไปสู่เป้าหมายในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของนวัตกรรมกลุ่มสุขภาพ และผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub ในปี พ.ศ.2568 กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ปรับแผนการทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข ด้วยการปฏิรูประบบสาธารณสุข และสร้างความเข้มแข็งไปสู่ความยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านการแพทย์และสาธารณสุข 1 ใน 3 ของเอเชีย



       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข ดังนั้นเพื่อให้ผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้สำเร็จ  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ร่วมมือทำข้อตกลงกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมีส่วนช่วยพัฒนาให้ไทยเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการแพทย์ โดยการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยให้เกิดนวัตกรรมของประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์ของภาคอุตสาหกรรม เพื่อลดการนำเข้าและสร้างมูลค่าทางการแข่งขันของประเทศส่งผลให้ประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0 ตามแนวทางประชารัฐ


นายแพทย์สุขุม  กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีผลงานสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาชุดทดสอบที่ผ่านการประเมินและตรวจสอบคุณภาพ    มีการผลิตในระบบคุณภาพ EN ISO 13485:2012 เช่น  ชุดทดสอบมาลาเรีย  ชุดตรวจเชื้อเลปโตสไปรา  ชุดตรวจ สเตียรอยด์ เป็นต้น การพัฒนาวิธีทดสอบด้านชีวโมเลกุล เช่น Real time PCR โดยมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือ เอนไซม์ Taq Polymerase การพัฒนา Biotherapeutics โดยมีระบบการสร้างและผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนใน E.coli และ mammalian cell เพื่อผลิตโปรตีนแอนติเจนและโมโนโคลนอลแอนติบอดี ชนิด prototype เพื่อทำการศึกษาในระดับพรีคลินิก  และมีศูนย์วิจัยทางคลินิกทำการศึกษาวิจัยทางคลินิก นอกจากจะร่วมมือกันในการพัฒนายาชีวเภสัชภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรม  ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยผลักดันการนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาไปขยายผล รวมถึงการต่อยอดผลการวิจัยพัฒนาต้นน้ำเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือวิธีทดสอบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง และประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุด มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน